การฟอกสีฟันให้ขาวเริ่มต้นที่ยุคอียิปต์โบราณและโรม
ส่วนชาวโรมเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์เป็นสารฟอกสีฟันที่ดีที่สุด แม้ว่าการใช้ปัสสาวะเป็นสารฟอกฟันจะฟังดูไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไรสำหรับพวกเราคนยุคนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วปัสสาวะมีแอมโมเนียซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดฟัน
โดยศตวรรษที่ 18 หมอฟันไม่ได้เป็นคนฟอกสีฟันเหมือนในยุคเรานี้ ช่างทำผมต่างหากที่จะเป็นคนฟอกสีฟันให้กับลูกค้า เป็นบริการเสริมที่ช่างตัดผมทำเสริมงานตัดผมที่เป็นหน้าที่หลัก พวกเขาฟอกสีฟันโดยใช้อุปกรณ์โลหะจากนั้นใช้กรดไนตริกซึ่งจะช่วยให้ฟันของลูกค้าเป็นสีขาวและมีประกายเงางาม เป็นที่น่าเสียดายที่ข้อเสียในการใช้เทคนิคนี้คือ ทำลายเคลือบฟันและกัดกร่อนฟันทำให้ฟันสลายตัว เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ความนิยมในการฟอกสีฟันลดน้อยลงเลย เนื่องจากการมีฟันที่ขาวและสวยงามเป็นการแสดงถึงสถานะการเงินของบุคคล ทั้งๆที่จะมีผลกระทบเชิงลบ ต้องขอบคุณที่ปัจจุบันนี้ เทคนิคเหล่านั้นได้รับการปรับปรุง และพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่นั้นมา
ต้นศตวรรษที่ 19 ทันตแพทย์อิตาลี ค้นพบประโยชน์ของฟลูออไรด์ ซึ่งช่วยป้องกันฟันผุภายใน ไม่กี่ทศวรรษต่อมา ทันตแพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการดูดคอร์เซ็ตฟลูออไรด์และแล้วฟลูออไรด์กลายเป็นส่วนผสมที่นิยมใส่ในยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และแม้กระทั่งน้ำเปล่า แม้ว่าสารนี้จะช่วยป้องกันฟันผุได้ดีมาก แต่การใช้ฟลูออไรด์ในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้เกิดคราบบนฟันตลอดจนเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันเปลี่ยนสีไปจากเดิม
คนสมัยก่อนคงลำบากกันน่าดูเลย ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้ที่ช่วยให้การฟอกสีฟันสะดวกง่ายและที่สำคัญปลอดภัยขึ้นมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก The Dental Clinic
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น